คำถามที่พบบ่อย
การซื้อหุ้น เราจะมีสถานะเป็นเจ้าของบริษัทจดทะเบียนนั้น ผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนอาจจะได้รับ มี 2 รูปแบบหลัก คือ เงินปันผล (Dividend) ที่เป็นส่วนแบ่งจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (Dividend) และ ผลตอบแทนจากส่วนต่างของราคา (Capital Gain) ที่ขึ้นลงตามสภาวะตลาดในขณะนั้น
สำหรับ Options เป็นสินค้าหนึ่งที่มีการซื้อขายในตลาด TFEX โดยอ้างอิงราคาซื้อขายกับดัชนี SET50 Index ซึ่งเป็นดัชนีราคาหุ้นที่สะท้อนภาพรวมของตลาดหุ้นว่าเคลื่อนไหวไปในทิศทางใด และคำนวณมาจากราคาหุ้น 50 อันดับแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ พูดง่ายๆ ว่า เวลาซื้อขายสินค้านี้ คาดการณ์แค่ภาพรวมของตลาด ไม่ต้องวิเคราะห์เจาะจงที่บริษัทใดบริษัทหนึ่ง
ความพิเศษของสินค้า Options คือ ผู้ลงทุนสามารถนำมาใช้สร้างกลยุทธ์ได้หลากหลาย ใช้เพิ่มผลตอบแทนได้ในทุกสภาพตลาด (ขาขึ้น ขาลง และไร้ทิศทาง) หรือใช้บริหารความเสี่ยงก็ทำได้ การซื้อขาย Options ถ้าเป็นฝั่งผู้ซื้อ มีโอกาสในการรับผลตอบแทนได้อย่างไม่จำกัด แต่ถ้าตลาดไม่ได้เป็นไปตามที่คาด ก็สามารถจำกัดการขาดทุนได้ หรือพูดง่ายๆ คือ สามารถเลือกที่จะไม่ใช้สิทธิ์ และยอมเสียค่า Premium ที่เราซื้อ Options ไปเท่านั้น ศึกษาเพิ่มเติมได้ ที่นี่
ถ้าจะเปรียบเทียบให้ใกล้ตัวมากขึ้น การซื้อ Options ก็เหมือนกับการซื้อใบจองคอนโดฯ เช่น ถ้าเราต้องการซื้อคอนโดฯ เราจ่ายค่าจอง (สมมติจำนวน 1 แสนบาท) พร้อมทำสัญญาจะจ่ายเต็มจำนวนในวันที่คอนโดสร้างเสร็จ (สมมติราคา 3 ล้านบาท) ในระหว่างที่รอคอนโดฯ สร้างเสร็จ มูลค่าของใบจองคอนโดฯ ก็อาจมีการปรับขึ้นลงตามความต้องการผู้ซื้อผู้ขายได้ แต่สุดท้ายเมื่อคอนโดฯ สร้างเสร็จสมบูรณ์ อาจมีหลายปัจจัยที่ทำให้ราคาคอนโดฯ ที่ซื้อขายจริงในท้องตลาดสูงขึ้นหรือต่ำลงก็ได้ หากราคาปรับตัวสูงขึ้น (สมมติเป็น 4 ล้านบาท) เราก็สามารถเลือกใช้สิทธิ์ซื้อคอนโดฯ ที่ราคา 3 ล้านบาท (ตามสัญญาที่ได้เคยตกลงไว้) ซึ่งหากเรานำคอนโดฯ ไปขายต่อที่ราคาตลาด เราก็จะสามารถทำกำไรได้ 1 ล้านบาท จากการลงทุนซื้อใบจองเพียง 1 แสนบาท ในทางกลับกัน หากราคาคอนโดฯ ปรับตัวลดลงเหลือ 2 ล้านบาท เราก็สามารถเลือกที่จะทิ้งใบจองได้ นั่นคือ เราจะขาดทุนสูงสุดเท่ากับราคาใบจองที่เราจ่ายซื้อไปเท่านั้น
จากตัวอย่างข้างต้นเป็นการเปรียบเทียบให้เข้าใจได้ง่าย อย่างไรก็ดี ในความเป็นจริงการซื้อขาย Options เราสามารถเลือกเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขายก็ได้ ทำให้ Options สามารถใช้ทำกำไรได้ในทุกสภาวะตลาด ไม่ว่าขาขึ้นหรือขาลง
การลงทุนใน Options จะเสียเงินแค่ค่า Premium หรือค่าสิทธิ์ในการซื้อขาย SET50 Index เท่านั้น ทำให้จำนวนเงินที่ใช้ลงทุน น้อยกว่าการซื้อขาย SET50 Index เต็มมูลค่าจริง ทั้งนี้ หากทิศทางของ SET50 Index เป็นไปตามเป้าหมายที่ระบุไว้ โอกาสที่จะได้กำไรก็จะสูงขึ้นทวีคูณเมื่อเทียบกับเงินลงทุนเริ่มต้นที่ใช้ไปกับการซื้อสิทธิ์ของ Options
ตัวอย่างจากสถานการณ์จริง เช่น สัญญา Options ที่ให้สิทธิ์ขาย SET50 Index ที่ 1000 จุด (S50H20P1000) ช่วงเดือน ก.พ. 63 ราคาอยู่ที่ประมาณ 600 บาทต่อสัญญา แต่ช่วงวันที่ 9 มี.ค. 63 มีราคาสูงกว่า 30,000 บาท ดังนั้น ผู้ซื้อสัญญาดังกล่าวไว้ตอนราคา 600 บาท ก็สามารถทำกำไรได้สูงมาก ถ้าเทียบกับเงินที่ซื้อสิทธิ์ไป แต่ก็ไม่ใช่ทุกกรณีจะเป็นแบบนี้และกรณีที่กำไรสูง ๆ ความน่าจะเป็นที่จะเกิดขึ้นก็จะยิ่งต่ำไปด้วย
เนื่องจาก Options ใน TFEX เป็นสินค้าที่อ้างอิงกับดัชนี SET50 ซึ่งคำนวณมาจากราคาหุ้น 50 อันดับแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ การขึ้นลงของ SET50 Index จึงเป็นการสะท้อนภาพรวมของตลาดหุ้น ซึ่งแนวทางการวิเคราะห์สามารถใช้ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental) มาร่วมประกอบการพิจารณา เช่น ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เหตุบ้านการเมือง รวมถึงผลการดำเนินงานและฐานะทางการเงินของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มดัชนีดังกล่าว
อย่างไรก็ดี นอกจากข้อมูลปัจจัยพื้นฐาน ที่ผู้ลงทุนนิยมนำมาใช้ในการวิเคราะห์หรือทำความเข้าใจการเคลื่อนไหวของตลาดแล้ว ผู้ลงทุนบางท่านอาจใช้เครื่องมือทางด้านเทคนิค มาช่วยในการวิเคราะห์จับจังหวะการซื้อขายเพิ่มเติมอีกด้วย (คลิกศึกษาเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคได้ที่นี่ )
หากคาดการณ์การเคลื่อนไหวของตลาดได้ถูกต้อง Options สามารถทำกำไรได้ 2 ลักษณะคือ
เพราะ Options Starter เป็นโปรแกรมที่จะช่วยให้การใช้งาน SET50 Options ซึ่งหลายคนอาจมองว่าซับซ้อน เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น โดยเฉพาะสำหรับผู้เพิ่งเริ่มต้นซื้อขาย Options ด้วย 3 ขั้นตอนง่าย ๆ
1. เลือกทิศทางตลาด
2. เลือกสัญญาที่ต้องการ
3. ทำกำไร/ตัดขาดทุน
หรือเรียกได้ว่า Options Starter ช่วยเพิ่มความสะดวกและเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนสามารถทำกำไรจากการคาดการณ์ทิศทางของดัชนี SET50 ได้ง่ายขึ้น
โปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน