พังเพราะผู้บริหารเล่นหุ้น

โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investor) ชั้นแนวหน้า

พังเพราะผู้บริหารเล่นหุ้น

โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investor) ชั้นแนวหน้า
Ruined by Executives Playing the Stock Market

ช่วงนี้นักลงทุนส่วนบุคคลแทบทุกกลุ่ม  รวมถึง VI รายย่อยและรายใหญ่  “ระดับเซียน” ต่างก็ “เจ็บ” กันหนัก  บางคนก็แทบจะเป็น “หายนะ”  การที่พอร์ต “ขาดทุน 50%” หรือมากกว่านั้น  ไม่ใช่เรื่องที่ “ผิดปกติ” อีกต่อไป  ทั้ง ๆ ที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้ตกลงมารุนแรงมากในระดับวิกฤติ  และก็ไม่ได้ตกลงมาอย่างรวดเร็วเพราะมีเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างเกิดขึ้น  ว่าที่จริงตลาดหลักทรัพย์ในช่วงเร็ว ๆ  นี้  “เงียบเหงามาก” ปริมาณการซื้อ-ขายหุ้นต่อวันลดลงมาเหลือเพียงวันละประมาณ 4-50,000 ล้านบาท โดยเฉลี่ย  และดัชนีหุ้นก็ผันผวนน้อย-แต่หนักทางลดลงเรื่อย ๆ แบบช้า ๆ  ซึ่งนักวิเคราะห์บางคนบอกว่าเป็น  อาการ “ต้มกบ” คือ  ดัชนีหุ้นลดลงแบบช้า ๆ  จนคนไม่รู้ตัว  กว่าจะรู้ก็สายเสียแล้ว

          นักลงทุนที่เจ็บหนักมากในรอบนี้ดังที่กล่าวนั้น  เป็นเพราะพวกเขาเล่นหุ้นหรือลงทุนในบริษัทขนาดเล็กและกลางที่ก่อนหน้านั้นมีผลงานที่ยอดเยี่ยม  ราคาหุ้นขึ้นไปแรงและสูงมากอย่างไม่น่าเชื่ออานิสงค์จากการที่หุ้น  “ถูกคอร์เนอร์” เพราะเม็ดเงินของคนที่ซื้อนั้นมีปริมาณมากกว่าปกติมาก  และก็มักจะมาจากนักลงทุนรายใหญ่ที่เข้ามาลงทุนในหุ้นที่มีสตอรี่และกำลังมีผลประกอบการที่โดดเด่น  แต่สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นปัจจัยชี้ขาดและจำเป็นก็คือ  เจ้าของและผู้บริหารของบริษัทเหล่านั้น  เข้ามาร่วม “เล่นหุ้น” ของตนเองด้วย

         ถึงวันนี้  คอร์เนอร์หุ้นจำนวนมาก  น่าจะ  “แตก”  แล้ว  ราคาหุ้นที่เคยขึ้นไปสูงมากเป็นหลาย ๆ  เท่าในเวลาอาจจะหลายปี  ตกลงมาเรื่อย ๆ  บางตัวตกลงมาถึง 7-80%  ทั้ง ๆ  ที่หุ้นบางตัวไม่ได้มีเหตุการณ์ทางธุรกิจที่เสียหายรุนแรง  อาจจะยกเว้นเรื่องหนึ่งก็คือ  ผู้บริหารและเจ้าของขายหุ้นหรือถูกบังคับให้ขายหุ้นโดยการ “ฟอร์ซเซล” จำนวนมาก  ในขณะที่คนซื้อมีน้อยมาก

          บทเรียนสำคัญที่ผมจะพูดถึงในวันนี้ก็คือ  หุ้นที่ “เจ๊ง” หรือล่มสลายในช่วงนี้มักจะมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ  เป็นหุ้นที่เจ้าของและผู้บริหาร  “เล่นหุ้น” ของตนเอง  นั่นก็คือ  อาจจะเข้าไปซื้อขายโดยตรง  ชักชวนคนเข้าไปเล่นหุ้นของตนโดยการให้ข้อมูลข่าวสารในทางที่ดีเกินความเป็นจริง  แต่งและปรับตัวเลขผลประกอบการที่ออกมารายไตรมาศ  ทำโครงการและ/หรือซื้อธุรกิจอื่นทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์เพื่อเพิ่มประมาณการการเติบโตของบริษัท  และที่มักจะขาดไม่ได้ก็คือ  ดึง  “เซียนหุ้นรายใหญ่” เข้ามาซื้อและถือหุ้นของตนในจำนวนมาก  เพื่อที่จะยืนยันกับนักลงทุนอื่น ๆ  ว่าหุ้นของตนนั้น  “ดีจริง”    ลองมาดูรายละเอียดทีละเรื่อง

         สิ่งที่บอกว่าผู้บริหาร “เล่นหุ้น” ตนเองนั้นก็คือ  ผู้บริหารที่เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดอยู่แล้วนั้น  ซื้อหุ้นของตนเองเพิ่มขึ้นไปอีก  และเงินที่ใช้ซื้อนั้นก็มาจากการกู้โดยเอาหุ้นไปจำนำ  หรือวางเป็นหลักประกันในบัญชีซื้อ-ขายหุ้นด้วยมาร์จิน  นี่เป็นอะไรที่ไม่ธรรมดา  เพราะถ้าคิดว่าบริษัทดีเติบโตเร็วและหุ้นราคาถูก   อนาคตความมั่งคั่งของตนเองก็ต้องสูงมากอยู่แล้ว  ความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มการลงทุนอีก 5-10% มีน้อยมาก  ดังนั้น  สิ่งที่อาจจะเป็นจริงมากกว่าก็คือ  ผู้บริหารกู้เงินไปดันราคาหรือเข้าไปร่วมคอร์เนอร์หุ้นมากกว่า 

การดันราคาหุ้นของผู้บริหารนั้น  นอกจากจะเป็นการเพิ่มแรงซื้อให้กับหุ้นโดยตรงแล้ว  การที่ผู้บริหารซื้อและต้องเปิดเผยให้กับสาธารณะชนทันที  ซึ่งนั่นก็ส่งผลให้นักลงทุนเกิดความมั่นใจและซื้อตาม  ยิ่งซื้อมากและซื้ออย่างต่อเนื่องก็จะยิ่งสร้างความมั่นใจเพิ่ม  ทำให้ความต้องการหุ้นในตลาดสูงกว่าปริมาณคนที่อยากจะขาย  เมื่อถึงจุดหนึ่ง  หุ้นก็ถูกคอร์เนอร์  ราคาหุ้นขึ้นไปสุดโต่งและสูงกว่าพื้นฐานที่ควรจะเป็นมาก   ทำให้ผู้บริหารหรือเจ้าของกลายเป็นเศรษฐีหุ้นพันหรือหมื่นหรือแสนล้านบาท  และนั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในช่วงเวลาหนึ่ง

แต่เมื่อคอร์เนอร์ “แตก” ก่อนที่ผู้บริหารและเจ้าของจะ  “ออกของ” ทัน   และถูกฟอร์ซเซล  หายนะก็เกิดขึ้น  และก็แน่นอน  ไม่ใช่แค่เจ้าของ  นักลงทุนทุกคนที่เข้าไปร่วมในการเล่นหรือลงทุนในหุ้นต่างก็ถูกกระทบไปทั่วหน้า  พอร์ตหุ้นเสียหายหนักอย่างไม่คาดคิด  ผลตอบแทนการลงทุนระยะยาวที่เคยดีหรือดีมาก  ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ  หลายคนอาจจะต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดด้วยซ้ำ

หุ้นที่มีโอกาส “เจ๊ง” เรื่องต่อมาก็คือ  ผู้บริหารมักจะออกมาพูดเรื่องราวทำนองโอ้อวดความสามารถของบริษัท  การเจริญเติบโตของกิจการทั้งของเดิมและธุรกิจใหม่ ๆ  ที่จะทำหรือที่มากกว่าก็คือการซื้อหุ้นและ/หรือกิจการบริษัทอื่น  พูดง่าย ๆ  เป็นเจ้าแห่ง “โปรเจ็ค” โดยที่เหตุผลของการทำแต่ละดีลนั้นฟังดูดีเยี่ยมและจะทำให้ผลประกอบการในอนาคตเติบโตขึ้นไปอีกมาก  และก็มักจะช่วยให้ราคาหุ้นของบริษัทวิ่งขึ้นไปตาม  แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็จะพบว่า  แทบไม่มีกิจกรรมหรือบริษัทไหนที่ดีตามที่เคยคาดไว้เลย  นั่นก็อาจจะเพราะว่า  ผู้บริหารทำเรื่องทั้งหมดเพื่อที่จะสร้างภาพของการเติบโตให้บริษัทเพื่อที่ราคาหุ้นจะได้วิ่งขึ้น  เป็นคล้าย ๆ  กับการ “บริหารหุ้น” หรือ “เล่นหุ้น” มากกว่า

ประเด็นต่อมาก็คือ  หุ้นที่ตกหนักมากรอบนี้  มักมีการใช้  “วิศวกรรมการเงิน” กันค่อนข้างมาก  ตัวอย่างก็เช่น เรื่องของการเพิ่มทุนให้บุคคลอื่นแบบ PP  การขายหุ้นบางส่วนที่มีนัยสำคัญจากเจ้าของให้กับหุ้นส่วนทางกลยุทธ์หรือ Strategic Partner หรือนักลงทุนรายใหญ่   การออกตราสารอนุพันธ์เช่นวอแร้นต์ให้ผู้ถือหุ้นจำนวนมาก  เป็นต้น  บริษัทที่ทำแบบนี้บ่อย ๆ โดยที่ไม่มีเหตุผลที่ดีอย่างชัดเจนนั้น  จริง ๆ  แล้วอาจจะเป็น  “กลยุทธ์การเล่นหุ้น” คือทำเพื่อที่จะเพิ่มมูลค่าของหุ้นให้ตนเอง   ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปก็มักจะพบว่าหุ้น  “พัง”  เพราะคนที่ซื้อหุ้น PP มักจะไม่ใช่หุ้นส่วน  แต่เป็นนักเล่นหุ้นที่หวังกำไรอย่างรวดเร็ว  เข้าไปลากหุ้นขึ้นและเทขายอย่างรวดเร็วมากกว่า

หุ้นที่ตกหนักมากรอบนี้  จำนวนมากเคยหรืออาจจะยังเป็นหุ้นที่มีคุณภาพดีหรือดีมากมาก่อน  เพียงแต่ในช่วงที่หุ้นขึ้นไปนั้นมีราคาเกินพื้นฐานไปมาก  อานิสงค์สำคัญมาจากการที่หุ้นถูกคอร์เนอร์ขึ้นไปมาก  ค่า PE สูงลิ่ว  บางตัวราคาสูงถึง 40-50 เท่าขึ้นไปจาก “กำไรปกติ”  ซึ่งค่า PE ระดับนั้นน่าจะเหมาะกับ  “บริษัทเทคโนโลยีระดับโลก” มากกว่าบริษัทธรรมดา ๆ ของไทย ที่บังเอิญดีในช่วงเวลาที่เอื้ออำนวยกับอุตสาหกรรม

หุ้น “ดี” ที่ตกหนักมากในช่วงเร็ว ๆ  นี้  จึงต้องมี  “ยี่ห้อ” หรือมีการ  “รับรอง” โดย  “เซียนหุ้น” ที่ได้รับการยอมรับในตลาดหุ้น  ซึ่งมีผลงานการลงทุนมายาวนาน  ดังนั้น  จึงพบว่า  นอกจากผู้บริหารและเจ้าของหุ้นที่เข้ามาซื้อ-ขายหุ้นลงทุนในบริษัทของตนเองแล้ว  บริษัทมักจะมี  “เซียนหุ้น” มาเป็น “ผู้ถือหุ้นรายใหญ่” คือถือหุ้นใหญ่เป็น 1 ใน 10 อันดับแรกของบริษัท  หรือในช่วงนี้ก็ถือหุ้นอย่างน้อย 0.5% ของหุ้นทั้งหมดของบริษัท

เป็นไปได้ว่า “เซียน” เข้าไปลงทุนตามพื้นฐานและตามหลักการแบบ “VI” จริง ๆ  และก็ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือรู้จักเป็นการส่วนตัวกับผู้บริหาร  แต่ในหลายกรณีก็ดูเหมือนว่าเซียนก็สนิทสนมกับผู้บริหารและมีกิจกรรมร่วมกันในหลาย ๆ  เรื่อง  และแน่นอนว่าอาจจะเป็นคนที่ดึงให้เซียนเข้ามา  “เล่นหุ้น” ของตนเองด้วย    แต่ไม่ว่าจะเป็นกรณีไหน  ในที่สุดหุ้นก็ “พัง” ทำให้ทุกคนโดยเฉพาะคนที่เล่นหุ้นหรือลงทุนตามเซียน  “เจ็บหนัก” ไปด้วย

การตกลงมาของหุ้นที่เคยเป็น  “หุ้นนางฟ้า” ของนักลงทุนส่วนบุคคลทั้งรายใหญ่และรายย่อย  ทั้งที่เป็นนักเก็งกำไรและที่เป็น “VI” ในรอบนี้  สำหรับหลาย ๆ  คน ถือว่ามีความรุนแรงมากน่าจะเท่า ๆ  หรือหนักกว่าการตกในช่วงที่เกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจและการเงินเช่นวิกฤติซับไพร์มในปี 2551  เพราะอัตราของความเสียหายนั้นสูงในระดับ 40-50% ของพอร์ตเหมือนกัน

แต่สิ่งที่เจ็บหนักกว่าช่วงวิกฤติเศรษฐกิจและตลาดหุ้นก็คือ  นักลงทุนจำนวนมากคิดว่าตนเองถูก “หลอก” ให้เข้าไปเล่น  หรือถูก “โกง” โดยคนที่ “วางแผนไว้ตั้งแต่ต้น”  และในกรณีของนักลงทุนแนว “VI” หรือคนที่วิเคราะห์หุ้นแบบพื้นฐานที่ต้องเสียหายอย่างหนักนั้น  ความเจ็บปวดของแต่ละคนก็อาจจะไม่เหมือนกัน  แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อว่าจะเกิดขึ้นกับคนที่อยู่มานานและ  “เคย” ประสบความสำเร็จจากการลงทุนสูง  น่าจะสูญเสียความมั่นใจกับการลงทุนไปมาก  และก็คงจดจำบทเรียนที่สำคัญที่สุดบทหนึ่งที่ว่า

ในระยะสั้น  ซึ่งบางทีอาจจะยาวถึง 10 ปีนั้น  คุณอาจจะสร้างผลงานการลงทุนได้ยอดเยี่ยมหลายสิบเปอร์เซ็นต์ต่อปีแบบทบต้น  เหนือกว่าแม้แต่วอเร็น บัฟเฟตต์  แต่ในระยะยาวเป็น 20 ปีขึ้นไป  ผลตอบแทนทบต้นก็จะวิ่งเข้าหา “ข้อจำกัด” ที่ไม่อาจฝืนได้  เช่น  “หายนะ” ที่เข้ามาทำลายผลตอบแทนที่เคยยอดเยี่ยมนั้นให้กลับไปสู่ความเป็นจริง  ที่ประมาณ 10% ต่อปีแบบทบต้น  บวกลบเล็กน้อยถ้าคุณโชคดีอยู่ในตลาดหุ้นที่เติบโตยาวนาน  ผลตอบแทนที่ดีเลิศต่อเนื่องยาวนานนั้น  มักจะมาพร้อมกับความเสี่ยงที่คุณ “นึกไม่ถึง” และก็จะเกิดขึ้นวันใดวันหนึ่ง

สำหรับผมแล้ว  การพยายามหลีกเลี่ยง  “หายนะ” เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการลงทุนระยะยาว  พยายามคิดหรือศึกษาให้รู้ว่าเราจะ “ตายที่ไหน?”  เพื่อที่ว่าเราจะได้ไม่ไปที่นั่น  นั่นคือคำคมคลาสสิคของชาลี มังเกอร์ เซียนหุ้นที่มีชีวิตยืนยาวมาก   และ “ที่ตาย” ที่สำคัญจุดหนึ่งที่ผมคิดก็คือ  การกู้เงินซื้อหุ้นด้วยมาร์จินจำนวนมากที่เราไม่ควรไปเลยไม่ว่าเราจะคิดว่าหุ้นดีแค่ไหน      


  บทความที่เกี่ยวข้อง