บริษัท: บริษัท เซนต์เมด จำกัด (มหาชน) (SMD)

โดย Executive Talk by ShareInvestor ShareInvestor

บริษัท: บริษัท เซนต์เมด จำกัด (มหาชน) (SMD)

โดย Executive Talk by ShareInvestor ShareInvestor
บริษัท-เซนต์เมด-จำกัด-(มหาชน)-(SMD)

Executive Interview

บริษัท: บริษัท เซนต์เมด จำกัด (มหาชน) (SMD)
ชื่อ: วิโรจน์ วสุศุทธิกุลกานต์

ตำแหน่ง: ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร

Executive Talk by ShareInvestor: ยกระดับอุตสาหกรรมการแพทย์ เพื่อสุขภาพของคนไทย

smd

1. อย่างที่ทราบกันดีว่าการระบาดของโรคโควิด-19 ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ SMD มีรายได้เติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์มาตั้งแต่ปีที่แล้ว จากการจำหน่ายชุดตรวจคัดกรองโควิด-19 แบบเร่งด่วน หรือ ATKอย่างไรก็ตาม วิกฤติโรคระบาดก็ไม่ใช่ปัจจัยที่จะคงอยู่ตลอดไป ดังนั้น SMD ได้คาดการณ์แนวโน้มศักยภาพตลาด ATK ในอนาคตไว้อย่างไร?

โรคโควิด-19 จะมาและจะจบลงเมื่อไหร่ คงไม่มีใครทราบได้ แต่เราก็คิดแบบ conservative ไว้ก่อนว่ามันคงน่าจะหมดไป และความรุนแรงก็คงลดลง อย่างไรก็ตาม โรคโควิด-19 ก็นำมาซึ่งโอกาสใหม่ๆ ครับ หนึ่งในนั้น คือ การตรวจสุขภาพด้วยตนเองที่บ้าน เช่น การตรวจไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A หรือ B การตรวจมะเร็งต่อมลูกหมาก การตรวจหาสารเสพติดในปัสสาวะ การตรวจฮีโมโกลบิน A1C การตรวจเบาหวานหรือระดับน้ำตาลเฉลี่ยในเลือด ด้วย Test kit ต่างๆ 

หากกล่าวโดยสรุป  ATK แบบ 2 ขีดสำหรับตรวจโรคโควิด-19 น่าจะขายได้น้อยลง แต่ ATK แบบ 5 ขีดจะเข้ามาแทนที่ครับ แล้ว 5 ขีดมีอะไรบ้างล่ะ ก็มีโรคโควิด-19 ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A สายพันธุ์ B และ Control line รวมกันเป็น 5 ขีด โดยการตรวจลักษณะนี้ไม่ใช่การตรวจแบบสกรีนนิ่ง แต่จะตรวจเมื่อมีอาการ ดังนั้น ผมคิดว่าตลาด Test kit จะยังโตได้ครับ

2. มุมมองของคุณวิโรจน์ต่ออุตสาหกรรมด้านสุขภาพในประเทศไทย โดยเฉพาะในหมวดเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์เป็นอย่างไร และคุณวิโรจน์มองเห็นโอกาสทางธุรกิจอะไรบ้าง?

 เครื่องแพทย์เป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่มากครับ Market capital ในการนำเข้าสินค้าหมวดนี้มีมูลค่าเกือบ 1 แสนล้านบาท ซึ่งหากนำเข้ามา 1 แสนล้านบาทก็คงจะขายได้ราวๆ 1.5 แสนล้านบาท ด้วย Margin ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ 

เครื่องมือแพทย์ยังแบ่งออกเป็นหลายวงการ เช่น วงการ ER ICU หัวใจ ตับ ม้าม สมอง กระดูก เป็นต้น เปรียบเหมือนอวัยวะคนครับ สำหรับ SMD เราอยู่ในวงการ ER หัวใจ กลุ่มรักษาโรคนอนกรน และการหยุดหายใจขณะหลับครับ โดยเราเริ่มต้นธุรกิจมาจากวงการนี้ตั้งแต่แรก 

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ตลาดนี้มีมูลค่าค่อนข้างสูง ก่อนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เรามียอดขายอยู่ที่ 660 ล้านบาท จากนั้นเมื่อเราเข้าตลาดฯ ในปี 2564 เราทำยอดขายได้ถึง 1,620 ล้านบาทโดยประมาณ สำหรับปี 2565 นี้เราน่าจะทำได้เกือบ 2 พันล้านบาทครับ นั่นแสดงว่า 2 ปีนี้เราขายได้เยอะ ในปี 2566 เราน่าจะได้เห็นตัวเลขที่ลดต่ำลงระดับหนึ่ง ซึ่งนี่เป็นธรรมชาติของทุกธุรกิจครับ เมื่อถึงจุดพีคแล้วก็จะย่อตัว 

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่สินค้าเดิมก็ยังขายต่อไป เราก็มีการสรรหาสินค้าอื่นๆ เข้ามาเพิ่มเติม ได้แก่ บรรดา Rapid test kit ต่างๆ เช่น ATK แบบ 5 ขีด Alcohol test kit หรือ Test kit สำหรับตรวจหาสารเสพติด เช่น Methamphetamine เป็นต้น นี่ถือเป็นอีกหนึ่งตลาดที่เรามีความได้เปรียบในการแข่งขันครับ เนื่องจากสินค้าเหล่านี้ต้องขายผ่านช่องทาง Modern trade ซึ่งต้องการ Credit term ที่มีระยะเวลานาน จึงอาจเป็นอุปสรรคต่อบริษัทเครื่องมือแพทย์ขนาดเล็ก

กลับมาที่ศักยภาพของตลาดชุดตรวจ อย่างสมัยก่อนการระบาดของ Covid-19 ไม่มีใครคิดเลยว่า ATK จะขายดีขนาดนี้ จริงมั้ยครับ นั่นก็เพราะว่าสถานการณ์ทำให้คนเปลี่ยนพฤติกรรม

นอกจากนี้ จะเห็นว่ากฎหมายหรือประกาศของภาครัฐนั้นเข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ ครับ อย่างเช่น การตรวจสารเสพติดในพนักงานขับรถของบริษัท คนเหล่านี้ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสเสพสาร Methamphetamine บริษัทจึงต้องมีการตรวจอย่างสม่ำเสมอ เป็นต้นครับ 

อีกตัวอย่างใกล้ตัวเลย ถ้าวันนี้คุณไปผับเพื่อสังสรรค์ และได้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก่อนคุณจะกลับบ้านคุณสามารถซื้อชุดตรวจแอลกอฮอลชุดละ 40 บาท เพื่อตรวจให้แน่ใจว่าปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 60 มิลลิกรัมหรือไม่ จะเห็นว่ามีมูลค่าเพียงน้อยนิด เมื่อเทียบกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ตรงนี้น่าจะเห็นภาพชัดขึ้นครับว่าตลาดนี้มีศักยภาพขนาดไหน

3. กลยุทธ์การลงทุนขยายธุรกิจในช่วง 5 ปีต่อจากนี้เป็นอย่างไร
?

เราถือว่าเครื่องมือแพทย์ และ Test kit ต่างๆ อยู่ในกลุ่มธุรกิจหลักที่เราทำมานาน และมีสินค้าใหม่ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่น เครื่อง CPAP สำหรับรักษาการนอนกรน ก็มีรุ่นใหม่ๆ ออกมาเสมอ เนื่องจากร้อยละ 40 ของประชากรที่อายุมากกว่า 40 ปีจะมีภาวะนอนกรน และหยุดหายใจขณะหลับ อนาคตจะเป็นตลาดที่ใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ครับ

สำหรับธุรกิจใหม่ เนื่องจากเราต้องการสร้างธุรกิจที่มีความยั่งยืนขึ้น จึงเป็นที่มาของ Healthcare service ที่สามารถเชื่อมโยงกับธุรกิจเดิมของเราได้ ดังนั้น กลุ่มแรกที่เราจะลงทุนก็คือ เครื่องอัดออกซิเจนแรงดันสูง กลุ่มที่สอง คือ เครื่องมือตรวจวัดมวลร่างกาย (Body composition) เช่น ความดันโลหิต ส่วนสูง น้ำหนัก หรือระดับไขมันในช่องท้อง (Visceral fat) เราจะนำเครื่องมือทั้งสองกลุ่มนี้ไปวางใน Spa หรือ Wellness center คุณก็สามารถตรวจวัดค่าต่างๆ ของร่างกายได้ 

โดยเราจะทำธุรกิจแบบ profit sharing กับเจ้าของ spa และ Wellness Center แต่หากท่านใดต้องการชื้อ ก็สามารถทำได้เช่นกัน 

อีกหนึ่งธุรกิจใหม่ที่เรากำลังวางแผน คือ การให้บริการเช่าซื้อรถพยาบาล ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีใครทำครับ เพราะต่อไปนี้ รถพยาบาลจะต้องมีอายุการใช้งานไม่เกิน 7 ปี หากเกินต้องเปลี่ยน ดังนั้น ทั้งโรงพยาบาล มูลนิธิ กู้ชีพ-กู้ภัย ก็ต้องเปลี่ยนรถกันบ่อยขึ้น เราจึงมองว่าการให้บริการเช่าซื้อรถพยาบาลจะเป็นตลาดที่มีศักยภาพของไทยครับ

 4. เทคโนโลยีดิจิทัลมีผลกระทบต่อธุรกิจของ SMD ในด้านใดบ้าง และ SMD ได้มีการปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างไร?

 ผมมองว่าเทคโนโลยีดิจิทัลจะเข้ามาส่งเสริมและเพิ่มโอกาสในการพัฒนาธุรกิจมากขึ้นครับ ยกตัวอย่างเช่น ระบบ Telemedicine ในฐานะตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือแพทย์ เรามองว่านี่คือเมกะเทรนด์ เราจึงเข้าไปเป็นหนึ่งในผู้เล่นในตลาดนี้ ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการขายแก่เรามากขึ้น ดังนั้น ผมมองว่าเทคโนโลยีดิจิทัลคือ “โอกาส” ไม่ใช่ปัญหาหรืออุปสรรคครับ

5. ในฐานะผู้ประกอบการซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและชีวิตมนุษย์ คุณค่าสำคัญที่ SMD ยึดถือในการประกอบธุรกิจคืออะไร?

 วิสัยทัศน์และคุณค่าของ SMD คือ การจำหน่ายเครื่องมือแพทย์ที่มีคุณค่า และบริการที่มีคุณภาพ ในราคาที่เหมาะสม บนเงื่อนไขการชำระเงินที่เข้าถึงง่าย สู่ระบบสาธารณสุขไทยและคนไทย  ทั้งหมดนี้คือคุณค่าหลักที่จะขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ความยั่งยืนครับ 

สุดท้ายนี้ ข้อคิดหนึ่งที่ผมอยากฝากถึงนักลงทุนคือ SMD เราเป็นบริษัทจำหน่ายเครื่องมือแพทย์ การลงทุนในหุ้นของ SMD จึงไม่ใช่แค่เรื่องผลตอบแทนอย่างเดียว แต่ยังเป็นการส่งเสริมให้คนไทยได้มีโอกาสเข้าถึงเครื่องมือแพทย์ที่ดีด้วยครับ


  บทความที่เกี่ยวข้อง